วันศุกร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐



เพอร์เซปตรอน (perceptron) เป็นข่ายงานประสาทเทียมประเภทหนึ่ง ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใน ค.ศ. 1957 โดย แฟรงค์ โรเซนบลัทท์ ที่ Cornell Aeronautical Laboratory
เพอร์เซปตรอนประกอบด้วยเซลล์ประสาทเทียม หรือนิวรอน อย่างน้อยหนึ่งชั้น, อินพุตจะถูกส่งตรงไปยังเอาท์พุต โดยผ่านชุดค่าน้ำหนัก, ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพิจารณาว่าเป็นข่ายงานป้อนไปหน้า (feedforward network) แบบพื้นฐานที่สุด. นิวรอนแต่ละตัวจะคำนวณผลรวมถ่วงน้ำหนักจากอินพุต, ซึ่งก็คือผลรวมของผลคูณระหว่างค่าอินพุตกับค่าน้ำหนักของแต่ละตัว, ถ้าค่าที่ได้จากการคำนวณนี้ ! มากกว่าขีดแบ่ง (threshold) นิวรอนก็จะให้ค่าเอาท์พุตเท่ากับ 1, ถ้าน้อยกว่าก็จะให้ค่า -1. เพื่อให้ง่ายจึงมักจะกำหนดให้ขีดแบ่ง เป็นค่าน้ำหนักตัวหนึ่งของอินพุตที่เป็นค่าคงที่, โดยฟังก์ชันค่าขีดแบ่งจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ 0.
นิวรอนที่ใช้ฟังก์ชันกระตุ้น (activation function) แบบนี้ อาจจะเรียกว่า นิวรอนแบบแมคคัลลอค-พิตส์ (McCulloch-Pitts neurons) หรือ นิวรอนขีดแบ่ง (threshold neurons) ในเอกสารทางวิชาการส่วนใหญ่ มักจะใช้คำว่า เพอร์เซปทรอน เมื่อพูดถึงข่ายงานที่ประกอบด้วยนิวรอนแบบนี้เพียงหน่วยเดียว
ขั้นตอนวิธีการเรียนรู้อย่างง่าย ที่สามารถนำมาใช้กับเพอร์เซปตรอน จะเรียกว่า กฎเดลต้า (delta-rule) โดยจะคำนวณค่าความผิดพลาดระหว่างเอาท์พุตที่ได้ กับเอาท์พุตของตัวอย่าง แล้วนำค่าที่ได้ไปปรับค่าน้ำหนัก โดยนำไปใช้ในรูปแบบของการเคลื่อนลงตามความชัน (gradient descent)
แม้ว่าในช่วงแรกเพอร์เซปตรอนจะทำงานได้ตามที่ต้องการ แต่ต่อมาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถสอนให้เพอร์เซปตรอนอย่างง่าย รู้จำรูปแบบต่างๆ หลายแบบ ทำให้งานวิจัยทางด้านนี้หยุดนิ่งไปหลายปี จนกระทั่งมีการค้นพบว่าข่ายงานประสาทแบบสามชั้นหรือมากกว่า ให้ผลที่ดีกว่าเพอร์เซปตรอนอย่างมาก
เพอร์เซปตรอนอย่างง่าย ที่ประกอบด้วยหนึ่งหรือสองชั้นนั้น สามารถเรียนรู้เฉพาะรูปแบบที่สามารถแบ่งแยกเชิงเส้น (linearly separable) ซึ่งใน ค.ศ. 1969 บทความที่มีชื่อเสียง ที่มีชื่อว่า Perceptrons โดย มาร์วิน มินสกี (Marvin Minsky) และ เซมัวร์ พาเพอรท์ (Seymour Papert) แสดงให้เห็นว่า ไม่สามารถใช้ข่ายงานแบบนี้เรียนรู้ฟังก์ชัน XOR และพวกเขาก็ได้คาดเดา (อย่างผิดพลาด) ว่าจะได้ผลเหมือนกัน แม้ว่าจะใช้ข่า�! ��งานที่มีสามชั้นหรือมากกว่า
การค้นพบในทศวรรษ 1980 ว่าข่ายงานประสาทหลายชั้น (multi-layer neural network) ไม่กระทบกับปัญหานี้ (ในความเป็นจริง) ทำให้งานวิจัยด้านนี้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง


�เพอร์เซปตรอน
อ้างอิง

Rosenblatt, Frank (1958), The Perceptron: A Probabilistic Model for Information Storage and Organization in the Brain, Cornell Aeronautical Laboratory, Psychological Review, v65, No. 6, pp. 386-408.
Minsky M L and Papert S A 1969 Perceptrons (Cambridge, MA: MIT Press)

วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐



ซามูไร (「侍」, Samurai, – ออกเสียงแบบญี่ปุ่นว่า ซะหมุไร ) คือทหารประเภทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น คำว่า ซามูไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซาบูเรา ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้นซามูไรก็คือผู้รับใช้แก่เจ้านายข้าแผ่นดินนั่นเอง



สารบัญ



ประวัติ
เป็นที่เชื่อกันว่า รูปแบบของเหล่านักรบบนหลังม้า มือธนู และทหารเดินเท้าในช่วงศตวรรษที่ 6น่าจะเป็นตัวบทต้นแบบของซามูไรดั้งเดิม) เข้าด้วยกัน และมโนทัศน์เช่นเดียวกันนี้ ยังถูกกล่าวไว้ในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะ (เฮเกะ โมโนงาตาริ, สมัยปลายศตวรรษที่ 12) โดยมีการอ้างอิงไว้ในคำกล่าวของตัวละครที่มีต่อการตายของ ไทระ โนะ ไทดะโนริ นักดาบ-นักกวีผู้มีการศึกษาคนหน�! �่งว่า:
"เหล่าเพื่อนและพวกศัตรูต่างก็มีน้ำตาชุ่มเปียกที่แขนเสื้อ และพากันกล่าวว่า 'น่าเสียดายเหลือเกิน! ทาดะโนริเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ มีฝีมือทั้งศิลปะการใช้ดาบและการกวี' "
วิลเลียม สก็อตต์ วิลสัน ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ไอเดียลส์ ออฟ เดอะ ซามูไร ว่า: "เหล่านักรบในเฮเกะ โมโนงาตาริ ถือได้ว่าเป็นตัวแบบสำหรับนักรบที่มีการศึกษาในรุ่นต่อ ๆ มา และอุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกอธิบายโดยนักรบแต่ละคนในเรื่องเล่า ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำตามหรือเอื้อมถึง มากกว่านั้น อุดมการณ์เหล่านี้ยังเป็นที่ต้! องการอย่างมากในสังคมนักรบชั้นสูง และยังเป็นสิ่งที่ถูกแนะนำว่าเหมาะสมที่จะนำว่าใช้เป็นรูปแบบของมนุษย์ติดอาวุธชาวญี่ปุ่นทุกคน ด้วยอิทธิพลของเฮเกะ โมโนงาตาริ นี่เอง ภาพลักษณ์ของนักรบญี่ปุ่นในงานวรรณกรรมต่าง ๆ จึงสุกงอมอย่างเต็มที่" ต่อมา วิลสันยังได้แปลงานเขียนของนักรบบางคนที่มีชื่อในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนที่ได้อ่า! นปฏิบัติตนตามอีกด้วย



จุดกำเนิด
เดิมแล้ว ซามูไรเป็นเพียงแค่นักรบรับจ้างให้กับองค์พระจักรพรรดิและกลุ่มชนชั้นสูง (คุเงะ (「公家」, kuge, 公家 และเพื่อเป็นการแทนที่อำนาจซึ่งมาจากเมืองเกียวโต ตัวเขาจึงได้จัดตั้งคณะการปกครองตามระบอบโชกุนในเมืองคามากุระขึ้นมา และยังได้ก่อตั้ง บากุฟุ หรือ ค่ายรัฐบาล ในเมืองเดียวกัน คำว่า "ค่ายรัฐบาล" เป็นคำเปรียบเปรยจากคำว่า ค่ายทหาร เพื่อเป็นการบอกว่ารัฐ�! ��าลคณะนี้เป็นรัฐบาลทหารนั่นเอง ส่วนเหตุที่เลือกก่อตั้งที่เมืองคามากุระเป็นเพราะว่า เมืองนี้อยู่ใกล้กับแหล่งฐานอำนาจของตัวเขาเอง
หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มซามูไรผู้ทรงอำนาจก็กลายเป็นนักรบชนชั้นนำ (บุเกะ) ผู้ซึ่งมีเพียงชื่อเท่านั้นที่ดำรงอยู่ภายใต้สำนักกลุ่มผู้ปกครองชนชั้นสูง หรือราชสำนัก เมื่อซามูไรเริ่มเข้าไปเป็นเจ้าของเครื่องจรรโลงใจต่าง ๆ ของกลุ่มชนชั้นสูง อย่างศิลปะลายมือ บทกวี และเพลง ในทางกลับกัน สำนักผู้ปกครองชนชั้นสูงบางสำนักก็เข้าไปเป็นเจ้าของธรรมเนียม! ต่าง ๆ ของซามูไรบ้าง แต่ถึงแม้ว่าจักรพรรดิหลาย ๆ พระองค์จะสร้างแผนการอันชั่วร้ายและกฏระยะสั้นต่าง ๆ ออกมาเพื่อลดบทบาทของกลุ่มซามูไร อำนาจที่แท้จริงในขณะนั้นก็ยังอยู่ในกำมือของโชกุนและซามูไรอยู่ดี



ค่ายรัฐบาลแห่งคามากุระ และยุคเฟื่องฟูของซามูไร
ซามูไรหลายกลุ่มต่างใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะกุมอำนาจเหนือเมืองคามากุระ และคณะการปกครองของโชกุนอาชิกางะ
ในช่วงศตวรรษที่ 13 ศาสนาพุทธลัทธิเซนถูกเผยแพร่ไปทั่วกลุ่มซามูไร ลัทธินี้ช่วยก่อร่างสร้างมาตรฐานแห่งประพฤติกรรมของพวกเขาขึ้นมา โดยเฉพาะพฤติกรรมการเอาชนะความกลัวตายและการสังหาร แต่สำหรับผู้คนกลุ่มอื่น ๆ แล้ว ศาสนาพุทธกระแสหลักก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่
ในปี พ.ศ. 1817 ราชวงศ์หยวน (แห่งจักรวรรดิมองโกล) ได้ส่งกำลังทหารประมาณ 40,000 นาย และเรือ 900 ลำเพื่อมาตีญี่ปุ่นที่เกาะคิวชู ) และอีกทางหนึ่งก็ส่งกำลังซามูไรจำนวน 160,000 คนไปบุกเกาหลี โดยใช้ความได้เปรียบในด้านความชำนาญในการใช้อาวุธปืนเล็กยาว และการบริหารกองทัพของฝ่ายเกาหลีที่แย่กว่าเป็นหนทางสู่ชัยชนะ ซามูไรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามครั้งนี้ได้แก่ คาโ�! ��ะ คิโยมาซะ และชิมาซุ โยชิหิโระ
หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในด้านทรัพยากรมนุษย์ก็เป็นไปอย่างยืดหยุ่น เหมือนกับระบบโบราณที่ล่มสลายไปแล้วได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เนื่องจากซามูไรต้องการที่จะคงกำลังทหารขนาดใหญ่และองค์กรที่พวกตนบริหารเอาไว้ในเขตอิทธิพลของพวกเขาเอง ตระกูลซามูไรหลาย ๆ ตระกูลที่ดำรงอยู่จนถึงศตวรรษที่ 19 ก็ออกมาประกาศว่า พวกตนเป็นสายเลือดของหนึ่งใน! สี่ตระกูลชั้นนำโบราณ ซึ่งได้แก่ตระกูลมินาโมโตะ ตระกูลไทระ ตระกูลฟุจิวาระ และตระกูลทาจิมานะ แต่อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ กรณี ก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าต้นตระกูลของพวกเขาเป็นใครกันแน่



คณะการปกครองของโชกุนอาชิกางะ และยุคศักดินา
โอดะ โนบุนางะ คือขุนนางที่มีชื่อเสียงของเขตนาโงยะ (ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าจังหวัดโอวาริ) และยังเป็นตัวอย่างของซามูไรที่โดดเด่นต่างจากผู้อื่นในยุคเซ็งโงกุ เขาเข้ามามีบทบาทและได้วางหนทางเพื่อความสำเร็จของเขา ไม่กี่ปีหลังจากการรวมญี่ปุ่นอีกครั้งภายใต้ "ค่ายรัฐบาล" หรือ "บากุฟุ" (คณะปกครองในระบอบโชกุน) ใหม่
โอดะ โนบุนางะ ได้สร้างนวตกรรมทางด้านการบริหารและกลยุทธ์การสงครามเอาไว้มากมาย ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากปืนเล็กยาวอย่างหนัก พัฒนาการพาณิชย์และอุตสาหกรรม และสร้างนวตกรรมใหม่ในด้านการคลัง ชัยชนะของเขาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ตัวเขาเข้าใจถึงการสิ้นสุดลงของค่ายรัฐบาลอาชิกางะ และการปลดอาวุธจากกำลังทหารของพระในศาสนาพุทธ ซึ่งนำไปสู่ความโก�! �ธเกรี้ยวและการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ระหว่างประชาชนธรรมดาด้วยกันเป็นเวลาหลายศตวรรษ เขารู้ว่าการโจมตีที่มาจาก "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์" ของวัดชาวพุทธ เกิดจากแรงกดดันที่มีมาจากการกระทำของขุนศึกและแม้แต่จักรพรรดิซึ่งพยายามจะควบคุมการกระทำของพวกเขา
โอดะถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2125 เมื่ออาเกจิ มิตสึฮิเดะ แม่ทัพคนหนึ่งในสังกัดของเขา หักหลังเขากับทหารของเขาด้วย
หลังจากนั้น โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ และโทกุงาวะ อิเอยาซุ (ผู้ซึ่งก่อตั้ง คณะการปกครองโชกุนโทกุงาวะ) ที่ต่างก็เป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของโนบุนางะ ก็ได้หาทางกำจัดมิตสึฮิเดะ - ฮิเดโยชิเป็นผู้ที่เติบโตมาจากชาวนาไร้ชื่อเสียงสู่หนึ่งในแม่ทัพที่มีฝีมือของโนบุนางะ ส่วนอิเอยาซุนั้นก็เติบโตมาด้วยกันกับโนบึนางะตั้งแต่เด็ก
ฮิเดโยชิเอาชนะมิตสึฮิเดะได้ภายในหนึ่งเดือน และถือเป็นผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อจากโนบุนางะโดยชอบธรรมโดยการยึดทรัพย์สินของมิตสึฮิเดะ
แม่ทัพทั้งสองได้ให้ความสำเร็จที่ผ่านมาของโนบุนางะเป็นของขวัญในการรวมญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน พวกเขาได้กล่าวคำสำคัญเอาไว้ในเหตุการณ์นี้ว่า: "การรวมแผ่นดินครั้งนี้ก็เหมือนกับข้าวปั้น โอดะทำมันขึ้นมา ฮาชิบะแต่งรูปร่างให้มัน และสุดท้าย มีเพียงอิเอยาซุเท่านั้นที่จะเป็นคนลิ้มรสมัน" (ฮาชิบะ คือชื่อตระกูลที่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ใช้ในขณะที่เขายังเป็นผู้�! �ิดตามของโนบุนางะ)
โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้เป็นบุตรของตระกูลชาวนาที่ยากจน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2129 เขาได้ตรากฎหมายให้ชนชั้นซามูไรมีความเป็นถาวรและสามารถตกทอดไปสู่ทายาทได้ ส่วนผู้ที่มิใช่ซามูไรนั้น ไม่สามารถพกพาอาวุธติดตัวได้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้กลุ่มซามูไรที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นอันต้องสิ้นสุดลง
หลังจากที่เกิดกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา ความคลุมเคลือระหว่างซามูไรจริงกับซามูไรปลอมก็เริ่มลดลง ชายวัยผู้ใหญ่ของทุก ๆ ระดับชั้นทางสังคม (แม้แต่ชาวนา) ส่วนมากแล้วจะไปขึ้นตรงต่อองค์กรทางการทหารอย่างน้อยหนึ่งองค์กร เพื่อรับใช้องค์กรนั้น ๆ ในการทำสงคราม จึงสามารถกล่าวได้ว่า สถานการณ์ "มวลชนปะทะมวลชน" กำลังจะดำเนินต่อไปอีกศตวรรษ
ตระกูลซามูไรที่มีอานาจในช่วงหลังศตวรรษที่ 17 จะได้รับเลือกให้ติดตามโนบุนางะ, ฮิเดโยชิ, และอิเอยาซุ สงครามขนาดใหญ่หลาย ๆ ครั้งเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ซามูไรที่พ่ายแพ้และถูกสังหารมีจำนวนมาก ซามูไรที่รอดกลับมาหลายต่อหลายคนก็ต้องกลายเป็นโรนิง หรือไม่ก็กลายเป็นประชาชนธรรมดา



โอดะ, โทโยโตมิ, และโทกุงาวะ
ตลอดสมัยการปกครองของตระกูลโทกุงาวะ (ที่มักจะเรียกกันว่าสมัยเอโดะ) นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีสงครามปะทุขึ้นอีกเลย ในยุคนี้ซามูไรหลาย ๆ คนจึงสูญเสียหน้าที่ทางการทหารไปทีละน้อย เป็นเหตุให้พวกเขาต้องหันมาทำงานเป็นข้าราชสำนัก ข้าราชการ และนักบริหารมากกว่าที่จะเป็นนักรบอย่างเคย
เมื่อสิ้นยุคของโทกุงะวะ ซามูไรก็กลายเป็นข้าราชการชนชั้นสูงรับใช้ผู้ที่เป็นไดเมียว ในยุคนี้ไดโชะของซามูไร (ดาบยาวและสั้นที่ซามูไรพกพาไว้คู่กัน หรือที่เรียกว่าคาตานะ และวากิซาชิ) ได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พวกเขายังคงได้อำนาจตามกฎหมายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่ไม่แสดงความเคารพอย่างเหมาะสมต่อ�! �ัวเขาอีกด้วย
ต่อมาเมื่อรัฐบาลกลางบังคับให้ไดเมียวต้องลดจำนวนซามูไรในสังกัดลง ปัญหาสังคมที่ตามมาคือจำนวนโรนิงที่เพิ่มมากขึ้น
ตามหลักการแล้ว พันธะที่เกิดขึ้นระหว่างซามูไรกับเจ้านายของพวกเขา (ส่วนใหญ่ก็คือไดเมียว) มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจากสมัยเก็มเปสู่สมัยเอโดะ ในช่วงนี้ ซามูไรจะให้ความสำคัญต่อคำสอนของปราชญ์ขงจื๊อและเม่งจื๊ออย่างมาก ตำราของปราชญ์ทั้งสองเป็นที่ต้องการของชนชั้นซามูไรที่มีการศึกษา
ตลอดสมัยเอโดะ หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง การประมวลหลักบูชิโดก็เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ สิ่งสำคัญคือ หลักบูชิโดเป็นเรื่องของอุดมคติ แต่ก็เป็นหลักที่ยังคงรูปแบบเดิมได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนถึงศตวรรษที่ 19 – อุดมการณ์บูชิโดเป็นอุดมการณ์ของชนชั้นนักรบที่อยู่เหนือบริบทชนชั้นทางสังคม เวลา และภูมิสถาน
หลักบูชิโดถูกทำให้เป็นทางการโดยซามูไรหลาย ๆ คน หลังจากที่บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ไร้สงคราม คล้ายกันกับหลัก ชิวัลรี ที่ถูกทำให้เป็นทางการเช่นกัน หลังจากที่อัศวินซึ่งเป็นชนชั้นนักรบในทวีปยุโรปล่มสลายไป
หลักความประพฤติของซามูไรได้กลายเป็นตัวแบบที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนในสมัยเอโดะ ซึ่งเป็นสมัยที่เน้นความเป็นทางการอย่างมาก นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ซามูไรหลาย ๆ คนยังได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไล่ตามสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เช่น การได้เป็นบัณฑิตผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้ง เป็นต้น
หลักบูชิโด และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เป็นวิถีชีวิตของซามูไร ปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีชิวิตอยู่ในสังคมแบบญี่ปุ่น



คณะการปกครองของโชกุนโทกุงาวะ
ในช่วงเวลานี้ วิถีทางแห่งความตายและเต็มไปด้วยอันตราย ได้ถูกทำให้ลดลงโดยการ "ปลุกให้ตื่นขึ้น" อย่างหยาบคายในปี พ.ศ. 2396 เมื่อพลเรือจัตวาแมทธิว เพอร์รี ได้นำเรือกลไฟจำนวนมากจากกองราชนาวีสหรัฐอเมริกา มาทำการค้ากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติที่ถูกครอบงำโดยนโยบายโดดเดี่ยวตัวเองอยู่ช่วงหนึ่ง ในช่วงแรก เนื่องจากการควบคุมอย่างเข้มงวดจากโชกุน จึงมีเพียงแต่เ�! ��ืองท่าบางเมืองเท่านั้นที่สามารถทำการค้ากับตะวันตกได้
การเข้ามาทำการค้าในญี่ปุ่นของชาติตะวันตกครั้งนั้นมีพื้นฐานมาจากความคิดที่จะแข่งขันกันระหว่างกลุ่มศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกนิกายฟรานซิสกันส์และโดมินิกันส์กับกลุ่มอื่น ๆ (เพื่อการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปืนเล็กยาว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ซามูไรแบบดั้งเดิมต้องล่มสลายไป)
ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของทัพซามูไรต้นตำรับเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2410 เมื่อซามูไรจากจังหวัดโจชุและจังหวัดซัตสึมะสามารถเอาชนะกองกำลังของโชกุนที่ได้รับการสนับสนุนจากคำสั่งขององค์จักรพรรดิได้ ก่อนหน้านี้ไดเมียวของทั้งสองจังหวัดได้ไปสวามิภักดิ์กับอิเอยะซุหลังจากที่สงคราม ณ ทุ่งเซกิงาฮาระสิ้นสุดลง (พ.ศ. 2143)
แต่ก็มีแหล่งข้อมูลอื่นอีกที่อ้างว่า ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของซามูไรเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2420 ในช่วงที่เกิดกบฏซัตสึมะในสงครามแห่งชิโรยามะ ความขัดแย้งซึ่งเป็นที่มาของปฏิบัติการครั้งนั้นเริ่มมาจากการรุกฮือขึ้นก่อกบฏในครั้งที่ผ่านมาเพื่อที่จะเอาชนะโชกุนโทกุงาวะ
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้นำไปสู่การปฏิรูปครั้งสำคัญ ที่เรียกว่าการปฏิรูปสมัยเมจิ
คณะรัฐบาลชุดใหม่ที่มีบทบาทในช่วงนั้น ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ อย่างถอนรากถอนโคน โดยได้ตั้งเป้าหมายไปที่การลดอำนาจของระบบศักดินา ซึ่งรวมทั้งในจังหวัดซัตสึมะด้วย และการยุบเลิกสถานะความเป็นซามูไรลงไป ในที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้นำไปสู่การก่อกบฏที่เกิดขึ้นมาก่อนกำหนด โดยมีแกนนำคือ ไซโง ทากาโมริ
จักรพรรดิเมจิได้สั่งให้ยุติสิทธิของซามูไรในเรื่องของการเป็นชนกลุ่มเดียวที่สามารถเป็นกองกำลังทหารได้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดกองทัพทหารเกณฑ์ที่เป็นแบบตะวันตก และมีความทันสมัยมากขึ้น ซามูไรได้กลายเป็น "ชิโซกุ" (「士族」, 士族, 士族) ผู้ซึ่งยังได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนอยู่ แต่สิทธิในการพกพาดาบคาตานะในพื้นที่สาธารณะได้นั้น ต้องถูกยกเลิกไปพร้อม ๆ กับสิ�! ��ธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อตน ในที่สุด กลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าซามูไรก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด หลังจากที่ผ่านเวลากว่าร้อยปีแห่งความสุขที่มีต่อสถานะของพวกตน อำนาจของพวกตน และความสามารถของพวกตนในการก่อร้างสร้างคณะรัฐบาลแห่งดินแดนญี่ปุ่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม กฎของรัฐที่ออกมาจากชนชั้นทหารก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลงไปด้วย



การเสื่อมถอยในช่วงการปฏิรูปสมัยเมจิ
เพื่อเป็นการแสดงว่าญี่ปุ่นมีความทันสมัย สมาชิกในคณะรัฐบาลเมจิจึงตัดสินใจที่จะเดินตามรอยเท้าของสหราชอาณาจักรและเยอรมนี โดยให้อยู่บนฐานคติที่ว่า "สิทธิพิเศษย่อมมีข้อผูกมัด" ("noblesse oblige") ส่วนซามูไรนั้น ก็ถูกลดอำนาจทางการเมืองไปเหมือนกับของปรัสเซีย
เมื่อการปฏิรูปสมัยเมจิเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชนชั้นซามูไรก็ล่มสลายไป และกองทัพประจำชาติแบบตะวันตกก็เกิดขึ้นแทน ทหารในกองทัพสมัยใหม่ขององค์พระจักรพรรดิแห่งประเทศญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่เป็นทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามาทั้งสิ้น แต่ก็มีซามูไร (เก่า) หลาย ๆ คนที่อาสาไปเป็นทหารให้ และอีกหลายคนก็เข้าไปฝึกเพื่อที่จะเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในกองทัพ ผู้ที่เ�! �็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีจุดเริ่มต้นมาจากซามูไรแทบทั้งสิ้น ทำให้พวกเขาเข้ามาทำงานพร้อมกับแรงจูงใจและวินัยขั้นสูง ประกอบกับการหมั่นฝึกฝนที่โดดเด่นผิดธรรมดา
นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่นหลายต่อหลายคนในช่วงหลังก็ล้วนเป็นซามูไรมาก่อนเช่นกัน ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าซามูไรเท่านั้นถึงจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ แต่เป็นเพราะว่า ซามูไรหลาย ๆ คนอ่านออกเขียนได้และมีการศึกษาที่ดี นักเรียนแลกเปลี่ยนบางคนเริ่มต้นเรียนที่โรงเรียนเอกชนก่อนเพื่อโอกาสทางการศึกษาที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน ซามูไรเก่าอีกหลายคนก็หันมาจับปากกาแทนปืน และได้กลายเป็นนักข่าวและนักประพันธ์ และยังได้ตั้งสำนักหนังสือพิมพ์ของตนเองอีกด้วย ส่วนอดีตซามูไรคนอื่น ๆ ก็เข้าไปรับใช้คณะรัฐบาล เนื่องจากพวกเขาอ่านออกเขียนได้และมีการศึกษานั่นเอง



ยุคหลังการปฏิรูปสมัยเมจิ
ชาวต่างประเทศคนแรกที่ได้รับเกียรติให้เป็นซามูไร น่าจะเป็นทหารและนักพจญภัยชาวอังกฤษที่มีนามว่า วิลเลียม อดัมส์ (พ.ศ. 2107 – พ.ศ. 2163) โชกุนโทกุงาวะ อิเอยาซุได้ประทานดาบคู่ให้แก่เขาเพื่อเป็นตัวแทนแห่งอำนาจของซามูไร พร้อมกับมีบัญชาออกมาว่า นักบินวิลเลียม อดัมส์ ได้ตายไปแล้ว และซามูไร มิอุระ อันจิง (「三浦按針」, 三浦按針, 三浦按針) ซึ่งเป็นที่ดินที่มีเขตแดนอยู่ในเมืองโ�! �โกซุกะในปัจจุบัน เป็นส่วนแบ่งจากท่านโชกุน พร้อมกับข้าทาสบริวารอีกส่วนหนึ่ง โดยมีหลักฐานปรากฏในจดหมายของเขาว่า "ด้วยชาวนาแปดสิบหรือเก้าสิบคนนี่แหละ ที่จะมาเป็นข้าทาสและบริวารของข้าพเจ้า" ทรัพย์สมบัติในรูปแบบของที่ดินของเขามีค่ามากเท่ากับ 250 โกกุ (หน่วยวัดรายได้ที่มาจากผืนนาบนที่ดินของญี่ปุ่น มีค่าประมาณห้าบูเชล)
ในท้ายที่สุด เขาได้เขียนในจดหมายของเขาว่า "พระเจ้าได้บันดาลพรให้ข้าพเจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้าต้องพบกับความทุกข์ระทม" เนื้อความดังกล่าวหมายความว่า ความหายนะ (จากการเดินทาง) ได้นำเส้นทางของเขาให้มาพบกับชีวิตที่ดีในญี่ปุ่น
นอกจากวิลเลียม อดัมส์ แล้ว ในช่วงที่เกิดสงครามโบชิง (พ.ศ. 2411 – พ.ศ. 2412) ก็ยังมีทหารชาวฝรั่งเศสหลาย ๆ คนที่เข้ามาร่วมกับกองกำลังของโชกุนต่อสู้กับกลุ่มไดเมียวฝ่ายใต้ที่เห็นชอบกับการปฏิรูปสมัยเมจิ โดยได้มีการบันทึกไว้ว่า เจ้าหน้าที่ราชนาวีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่ชื่อ Eugène Collache ได้ต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ภายใต้เครื่องแบบของซามูไร เคียงบ่าเคียงใหล่ไปกับเพื่�! ��นร่วมรบชาวญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ด้วย



ซามูไรชาวตะวันตก
ซามูไรได้พัฒนาวัฒนธรรมของพวกเขาเองในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้ยังได้ส่งอิทธิพลต่อรูปแบบวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นโดยรวมอีกด้วย



วัฒนธรรมซามูไร
ผู้ที่เป็นซามูไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นคนที่สามารถอ่านออกเขียนได้ พร้อมกับต้องมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนั้น ยังได้รับความคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจในศิลปะด้านอื่น ๆ อย่างเช่น การเต้นรำ การเล่นโกะ งานวรรณกรรม บทกวี และชา เป็นต้น ถึงแม้ว่าศิลปะเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต่อพวกเขาเลยก็ตาม
แต่ในประวัติศาสตร์ ซามูไรผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคนก็ไม่ได้มีคุณสมบัติตามวุฒิการศึกษาที่กล่าวไว้ข้างต้น ตัวอย่างเช่น โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพื้นเพเป็นชาวนา ก็มีอุปสรรคสำคัญอยู่ตรงที่เขาสามารถอ่านและเขียนได้แต่ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตัวอักษรฮิรางานะเท่านั้น อีกผู้หนึ่งคือ โอดะ โดกัง บุคคลผู้ที่ปกครองเอโดะเป็นคนแรก ก็เคยเขียนระบา! ยความในใจของเขาว่า เขาละอายใจเหลือเกินที่ได้พบว่า แม้แต่ประชาชนธรรมดายังมีความรู้ทางด้านการกวีมากกว่าตัวเขาเอง ทำให้เขารู้สึกอัปยศจนต้องยอมสละสมบัติและตำแหน่งของเขาไปในที่สุด



ประเพณีชุโด
ชื่อเต็มของซามูไร มักจะตั้งขึ้นมาโดยการนำเอาชื่อที่อ่านตามตัวอักษรคันจิของพ่อหรือปู่ของเขา มารวมกับชื่อใหม่อีกหนึ่งชื่อที่อ่านตามตัวอักษรคันจิเหมือนกัน ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ซามูไรจะใช้ชื่อบางส่วนจากชื่อเต็มทั้งหมดเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น โอดะ คาซุซะโนซุเกะ ซาบุโร โนบุนางะ (「織田上総介三郎信長」, 織田上総介三郎信長, 織田上総介三郎信長) ก็คือชื่อเต็มของโอดะ โนบุนางะ โดยคำว่า โอดะ ก็คือชื่อของตระกูลหรือสังกัด คำว่า คาซุซะโนซุเกะ ก็คือชื่อตำแหน่งรองข้าหลวงประจำจังหวัดคาซึซะ คำว่า ซาบุโระ ก็คือชื่อที่มีมาก่อนเข้าพิธีเก็มปุกุ (พิธีฉลองการเจริญวัย) และคำว่า โนบุนางะ ก็คือชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่ต่อที่เป็นผ�! ��้ใหญ่



การตั้งชื่อ
การแต่งงานของซามูไรจะถูกจัดขึ้นมาโดยผู้ที่แต่งงานแล้วและมียศศักดิ์เท่ากับหรือเหนือว่าซามูไรผู้เป็นเจ้าบ่าวเท่านั้น (นี่เป็นพิธีสำคัญสำหรับซามูไรที่มียศศักดิ์ต่ำกว่า และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับซามูไรที่มียศศักดิ์สูงกว่า) ซามูไรส่วนมากมักจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจากตระกูลซามูไรเหมือนกัน แต่สำหรับซามูไรที่มียศต่ำลงมา การแต่งงานกับหญิง�! ��ามัญชนถือเป็นเรื่องที่อนุโลมได้ ส่วนเรื่องของสินสมรส (สินเดิม) ฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นผู้ที่นำมาให้เอง เพื่อใช้เริ่มต้นชีวิตใหม่ของพวกเขา
ก่อนการแต่งงาน ซามูไรจะส่งค่าสินสอดหรือเอกสารยกเว้นการเก็บภาษีไปให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิงผ่านทางผู้ส่งข่าว เพื่อที่จะขออนุญาตบิดาและมารดาแต่งงานกับฝ่ายหญิง ซึ่งบิดามารดาส่วนใหญ่ก็ยอมรับข้อเสนอด้วยความยินดี พ่อค้าฐานะดีหลายคนส่งลูกสาวของพวกเขาไปแต่งงานกับซามูไรเพื่อจะได้หักลบหนี้สินของซามูไรและจะได้ทำให้ตำแหน่งหน้าที่ของตนก้าวหน้าข�! ��้น
ถ้าหากว่าภรรยาของซามูไรให้กำเนิดบุตรชาย บุตรชายผู้นั้นก็สามารถที่จะเป็นซามูไรได้
ซามูไรสามารถมีภรรยาน้อยได้ แต่พื้นหลังชีวิตของผู้ที่จะมาเป็นภรรยาน้อยจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยซามูไรระดับสูงเหมือนที่ทำในการแต่งงานจริง การลักพาตัวภรรยาน้อยถือว่าเป็นการกระทำที่น่าละอาย ถึงแม้ว่าการกระทำเช่นนี้ในนิยายหลาย ๆ เรื่องจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปก็ตาม
ซามูไรสามารถหย่าขาดจากภรรยาของเขาได้ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง แต่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้มีตำแหน่งสูงกว่าก่อน ซึ่งในความเป็นจริงการหย่าของซามูไรเกิดขึ้นมาน้อยมาก เหตุผลในการหย่าอาจจะเป็นเพราะว่า ภรรยาของเขาไม่สามารถให้บุตรชายแก่เขาได้ แต่วิธีการรับเด็กชายมาเลี้ยงก็สามารถใช้เป็นแนวทางแทนการหย่าได้เช่นกัน ซามูไรสามารถหย่าโดยใช้เหตุผล! ส่วนตัวที่ว่าเขาไม่ชอบภรรยาของเขาได้ แต่โดยทั่วไปเหตุผลนี้มักจะไม่ยกมาอ้างกัน เพราะมันจะสร้างความอับอายให้แก่ซามูไรระดับสูงที่จัดการแต่งงานให้ได้ แต่แม้ว่าโดยทั่วไปผู้ที่เป็นฝ่ายหย่าก่อนจะเป็นฝ่ายของซามูไร ฝ่ายหญิงก็สามารถเป็นฝ่ายที่เริ่มการหย่าก่อนได้เหมือนกัน หลังจากการหย่าแล้ว ฝ่ายซามูไรจะได้รับเงินค่าสินสอด ซึ่งมีไว้ป้องกันการหย! ่า กลับคืนมา
ภรรยาของซามูไรที่ไม่ซื่อสัตย์แล้วปฏิเสธในความผิดของเธอ จะได้รับอนุญาตให้ทำการจิไง (การคว้านท้องฆ่าตัวตาย (เซ็ปปุกุ) ของผู้ชาย)



การแต่งงาน
หลักปรัชญาของศาสนาพุทธและลัทธิเซน บวกกับบางส่วนของลัทธิขงจื๊อ มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมซามูไรได้ดีพอ ๆ กับลัทธิชินโต
ลัทธิเซนได้กลายเป็นหลักคำสอนสำคัญในเรื่องของวิธีการที่ทำให้จิตสงบ
ฐานคติของพุทธในเรื่องการกลับชาติมาเกิด ก็นำซามูไรไปสู่การละเลิกการทรมานและการฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผล ฐานคตินี้มีอิทธิพลมากจนซามูไรบางคนถึงกับยอมเลิกใช้ความรุนแรง และบวชเป็นพระสงฆ์หลังจากที่ตระหนักว่าการฆ่าฟันไม่ได้ส่งผลดีอย่างไร ขณะที่ซามูไรบางคนตระหนักถึงเรื่องเช่นนี้ได้ตอนที่อยูในสมรภูมิจริง จนเป็นเหตุให้เขาต้องถูกฆ่าตาย ณ ที่นั้นก็ม�! ��
ส่วนบทบาทของลัทธิขงจื๊อที่มีผลต่อวัฒนธรรมซามูไรก็คือ การเน้นความสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ปกครองให้ได้ ซึ่งนี่คือความจงรักภักดีที่ซามูไรต้องการจะแสดงต่อเจ้านายของเขา
บูชิโดคือ "ประมวลหลักการปฏิบัติ" ที่ติดตัวซามูไรทุก ๆ คน หลักนี้เริ่มบังคับใช้ในสมัยเอโดะ โดยคณะการปกครองของโชกุนโทกึงาวะ เพื่อพวกเขาจะได้ควบคุมเหล่าซามูไรได้ง่ายขึ้น
แต่เหตุการณ์ของ "กลุ่มโรนิงทั้ง 47" ก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกันเกี่ยวกับประเด็นความถูกต้องของหลักปฏิบัติของซามูไร และประเด็นที่ว่าหลักบูชิโดควรจะประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เนื่องจากซามูไรซึ่งกลายเป็นโรนิงทั้ง 47 คนนี้ไม่ได้ให้ความเคารพต่อโชกุนซึ่งเป็นผู้ปกครองของพวกเขา แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะความภักดีและความซื่อสัตย์ที่มีต่อนายเก่าของพวกเขาเอง �! ��ลสุดท้าย การกระทำของพวกเขาถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ แต่ไม่เป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อโชกุน นี่จึงเป็นเหตุให้พวกเขาทั้ง 47 คนต้องถูกฆาตกรรมด้วยการสำนึกผิดและสิทธิในการคว้านท้องฆ่าตัวตาย



ปรัชญา
หน้าที่ของผู้หญิงในฐานะภรรยาของซามูไรคือ แม่บ้าน บทบาทนี้สำคัญมากในยุคศักดินาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักรบผู้เป็นสามีมักจะเดินทางไปดินแดนอื่น หรือไปทำสงครามร่วมกับสังกัดของตนเอง ภรรยา หรือ "โอกึซัง" (แปลว่า ผู้ที่อยู่แต่ในบ้าน) จะเป็นผู้ที่จัดการกิจธุระทุกอย่างของครอบครัว ดูแลลูก ๆ และบางโอกาสยังต้องป้องกันบ้านจากการรุกรานด้วย ภรรยา�! ��องชนชั้นซามูไรหลาย ๆ คนต้องฝึกฝนการใช้ง้าว หรือที่เรียกว่านางินาตะ มือเดียวให้ได้ เพื่อจะได้สามารถปกป้องคนในครอบครัว บ้าน และเกียรติยศเอาไว้
ลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครของผู้ที่เป็นภรรยาซามูไรคือ ถ่อมตัว เชื่อฟัง ควบคุมตนเอง และจงรักภักดี ภรรยาในอุดมคติของซามูไรจะต้องมีทักษะในการจัดการกับทรัพย์สิน หมั่นจดบันทึก ดูแลการเงิน ให้การศึกษาแก่ลูก ๆ (และบางทีก็ต้องให้การศึกษาแก่ผู้รับใช้ด้วย) และบำรุงบิดามารดายามแก่เฒ่าทั้งของตนและของสามี ซึ่งอาจจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กฎของขงจื๊�! �ได้ช่วยนิยามความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและประมวลรวมหลักจรรยาของชนชั้นนักรบในเรื่องนี้ไว้ว่า ภรรยาจะต้องแสดงความเคารพอย่างสูงแก่สามี ต้องกตัญญูและบูชาบิดามารดา และต้องดูแลเอาใจใส่แก่ลูก ๆ แต่ถ้าให้ความรักต่อลูกมากจนเกินไป ก็จะทำให้ลูกเป็นผู้ที่เอาแต่ใจตนเองได้ ดังนั้น ผู้เป็นแม่จึงต้องฝึกให้ลูกมีวินัยควบคู่ไปด้วย
แม้ว่าภรรยาของตระกูลซามูไรที่มั่งคั่งจะได้เสวยสุขจากทรัพย์สินเงินทองและตำแหน่งอันเลิศหรูในสังคม และยังมีสิทธิหลีกเลี่ยงการถูกใช้แรงงานทางกายด้วยก็ตาม พวกเธอก็ยังมีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่าเพศชายอยู่หลายระดับ ผู้หญิงจะถูกห้ามไม่ให้ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง และโดยมากก็จะไม่ได้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าของครอบครัวด้วย
เมื่อการศึกษาเริ่มมีคุณค่ามากขึ้นในยุคของโทกึงาวะ ผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาตั้งแต่เด็กจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวและสังคมโดยรวม หลักเกณฑ์ในการเลือกสตรีมาแต่งงานด้วยจึงเริ่มถ่ายน้ำหนักไปที่ความฉลาดและระดับการศึกษา บวกกับความดึงดูดใจทางกายภาพของผู้ที่จะมาเป็นภรรยามากขึ้น ทำให้นอกจากจะต้องมีทักษะของการเป็นภรรยาและผู้จัดการครอบค�! ��ัวที่ดี ผู้หญิงในยุคนั้นยังต้องพบกับความท้าทายในการเรียนการอ่านภาษาจีน และยังจะต้องมีความรู้ในวิชาทางด้านปรัชญาและอักษรศาสตร์เบื้องต้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น จนถึงสิ้นสุดยุคโทกึงาวะ ภรรยาของซามูไรเกือบทุกคนจึงสามารถอ่านออกเขียนได้หมด



ผู้หญิง
อาวุธที่ซามูไรใช้มีอยู่หลายชนิด แต่ดาบคาตานะก็ไม่ได้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของซามูไร เพราะว่าซามูไรไม่สามารถนำ คาตานะ ติดตัวเข้าไปในบางสถานที่ได้ วากิซาชิ คือ อาวุธติดตัวซามูไรที่สำคัญที่สุด หลักบูชิโดได้สอนว่าจิตวิญญาณของซามูไรก็คือคาตานะของพวกเขาแต่ละคน และบางครั้ง ซามูไรก็ถูกจินตานาการให้ต้องพึ่งพาคาตานะเพื่อการต่อสู้ด้วย แนวคิดนี้เ! ป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับหน้าไม้ของยุโรป หรือดาบของอัศวินที่ส่วนใหญ่ใช้เป็นแค่เครื่องมือในการต่อสู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดาบคาตานะมักจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในสมรภูมิกัน จนกระทั่งยุคของคามากึระ (พ.ศ. 1728 – พ.ศ. 1876) ตัวดาบคาตานะเองก็ยังไม่ได้เป็นอาวุธหลักจนกระทั่งเกิดยุคเอโดะขึ้นมา
หลังจากที่บุตรชายของซามูไรได้ถือกำเนิดขึ้น เขาจะได้รับดาบเล่มแรกของเขาในพิธีฉลองที่เรียกว่า มาโมริ-กาตานะ อย่างไรก็ตาม ดาบที่ให้ไปเป็นเพียงแค่ดาบเครื่องรางเท่านั้น โดยจะห่อหุ้มด้วยไหมยกดอกเงินหรือทองเพื่อที่จะให้เด็กอายุไม่เกินห้าขวบพกเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ เมื่อถึงอายุสิบสามปี ในพิธีฉลองที่เรียกว่า เก็มบุกุ (「元服」, Gembuku, 元服)
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 ปืนเล็กยาวได้เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นผ่านทางพ่อค้าชาวโปรตุเกส อาวุธชนิดใหม่นี้ทำให้ขุนศึกหลาย ๆ คนสามารถสร้างกองกำลังที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาจากมวลชนชาวนาได้ แต่ตัวมันก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในสัยนั้น คนจำนวนมากแลเห็นว่า การที่มันเป็นอาวุธที่ใช้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพการสังหารสูง เป็นการหมิ่นประเพณีบูช! ิโดอย่างไร้เกียรติยศ
โอดะ โนบุนางะ ได้ใช้ปืนเล็กยาวจำนวนมากในสงครามแห่งนางาชิโนะ เมื่อปี พ.ศ. 2118 จนนำไปสู่การสูญสิ้นของตระกูลทาเกดะในที่สุด
หลังจากที่ชาวโปรตุเกสและชาวฮอลแลนด์ได้นำปืนเล็กยาวแบบบรรจุดินปืน หรือที่เรียกกันว่าเท็ปโปะ เข้ามาในญี่ปุ่นในครั้งแรก ช่างสร้างปืนชาวญี่ปุ่นก็ได้ผลิตมันออกมาเองในปริมาณมาก จนกระทั่งสิ้นสุดศตวรรษที่ 16 จำนวนปืนในญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าประเทศใด ๆ ในทวีปยุโรป ปืนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตและสะท้อนถึงความมีฝีมือของช่างที่สร้างได้เ! ป็นอย่างดี
เมื่อมาถึงสมัยการปกครองโดยโชกุนโทกึงาวะ และการสิ้นสุดลงของสงครามการเมือง ยอดการผลิตปืนก็ลดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับการออกคำสั่งห้ามไม่ให้ถือครองเป็นเจ้าของอาวุธปืน ในสมัยการปกครองนี้ อาวุธที่มีพื้นฐานมาจากหอกได้ถูกเลิกใช้ไปบางส่วน เนื่องจากอาวุธเหล่านี้มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด (ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสมัยเอโดะ) น้อย ส่ว�! �กฎข้อห้ามเกี่ยวกับปืนที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ก็มีผลให้ไดโชะเป็นอาวุธชนิดเดียวเท่านั้นที่ซามูไรสามารถพกพาได้
ส่วนอาวุธอื่น ๆ ที่ซามูไรนำมาใช้เป็นอาวุธก็ได้แก่ ไม้พลอง (โจะ), กระบองยาว (โบะ), ระเบิดมือ, เครื่องยิงหินแบบจีน (มักจะใช้ในการจู่โจมตัวบุคคลมากกว่าใช้เพื่อการล้อมโจมตี) และปืนใหญ่ (เป็นอาวุธที่มีค่าใช้จ่ายสูง นาน ๆ จะใช้สักครั้งหนึ่ง)



อาวุธ
คำว่า ซามูไร ซึ่งถูกเขียนด้วยอักษรจีน (หรือคันจิ) มีความหมายที่แท้จริงว่า "ผู้ที่ให้การรับใช้อย่างใกล้ชิดแก่เหล่าขุนนาง หรือผู้ที่มีตำแหน่งสูง" ในช่วงก่อนยุคเฮอัง ชาวญี่ปุ่นเรียกคำนี้ว่า ซาบูราปิ ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า ซาบูไร จนกระทั่งยุคเอโดะ ถึงจะเรียกว่า ซามูไร เหมือนในปัจจุบัน
ในงานวรรณกรรมของญี่ปุ่น ช่วงต้นศตวรรษที่ 10 ที่ชื่อโคกินชึ (「古今集」, Kokinshu, 古今集) ซึ่งแปลว่า นักรบ หรือ ซามูไร เป็นต้น
คำโบราณที่กล่าวถึงทหาร คนส่วนใหญ่รู้จักคำนี้จากบทกวีไฮกึที่โด่งดังของมะสึโอะ บะโช ถ้าแปลตามตัวอักษร คำนี้มีความหมายว่าคนแข็งแรง



นิรุกติศาสตร์ของคำว่า "ซามูไร" และคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง



ซามูไรในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ในทุกวันนี้ จิไดเงกิ (หรือละครอิงประวัติศาสตร์) ก็ยังคงเป็นรายการหลักที่ฉายในโรงภาพยนตร์และโทรทัศน์ของญี่ปุ่นอยู่ รายการประเภทนี้มักจะมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซามูไร รวมไปถึงเค็นญึตสึ ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเหล่าพ่อค้าและซามูไรคนอื่น ๆ ที่ชั่วร้าย
มิโตะ โคมง (「水戸黄門」, Mito Komon, 水戸黄門) เป็นตัวอย่างของละครชุดทางโทรทัศน์แนวจิไดเงกิ ที่โด่งดังเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางของโทกึงาวะ มิตสึกึนิ ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเศรษฐีเก่า พร้อมด้วยซามูไรไร้อาวุธอีกสองคนที่ปลอมตัวเป็นผู้ติดตามของเขา เขาจะต้องพบกับปัญหาในทุก ๆ ที่ที่เขาไป และเขาจะต้องเป็นผู้แก้ปัญหาและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ! หลังจากได้หลักฐานครบถ้วน เขาจะให้ซามูไรของเขาเข้าไปปราบซามูไรและพ่อค้าที่เป็นคนร้ายอย่างเลือดเย็น ก่อนที่จะเปิดเผยอัตลักษณ์ที่แท้จริงของเขาออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในเรื่องนี้คือ เหล่าร้ายที่มิตสึกึนิสามารถเข้าไปฆ่าล้างตระกูลได้ มักจะออกมายอมแพ้เสียก่อน เพื่อหวังว่าการลงโทษของเขาจะไม่ลามไปถึงสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ด้วย
ละครชุดทางโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับซามูไรอีกเรื่องหนึ่งคือ อาบาเร็มโบะ โชงึง ละครเรื่องนี้ประกอบไปด้วยตัวละครที่เป็นซามูไรทุกระดับชั้นไล่ตั้งแต่โชกุนลงมาถึงซามูไรระดับล่างที่สุด รวมไปถึงโรนิง ที่ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของเรื่องนี้ด้วย



ละครโทรทัศน์
งานภาพยนตร์แนวซามูไรของผู้กำกับอากิระ คุโรซาวะ ได้สร้างความรุ่งเรืองให้กับงานบันเทิงประเภทนี้อย่างมาก เทคนิคและวิธีการเล่าเรื่องในงานของเขาได้ส่งอิทธิพลไปสู่นักสร้างภาพยนตร์หลาย ๆ คนทั่วโลก ผลงานที่สร้างชื่อของเขาได้แก่
ในช่วงนั้น ภาพยนตร์แนวซามูไรและภาพยนตร์สไตล์ตะวันตกต่างก็แบ่งปันบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันให้แก่กัน และยังส่งอิทธิพลต่อกันเป็นเวลาหลายปี จะเห็นได้จากผลงานของผู้กำกับคุโรซาวะหลายเรื่องก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานของผู้กำกับชาวอเมริกันที่ชื่อจอห์น ฟอร์ด ในทางกลับกัน ผู้กำกับชาวตะวันตกหลายคนก็นำผลงานของคุโรซาวะไปสร้างใหม่เป็นภาพยนตร์แนวตะว�! �นตกด้วย ตัวอย่างเช่น เดอะ เซเว็น ซามูไร ก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง เดอะ แม็กนิฟิเซ็นท์ เซเว็น (7 สิงห์แดนเสือ) ส่วน โยญิมโบ ก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง อะ ฟิสท์ฟูล ออฟ ดอลลารส์ เป็นต้น
ส่วนเรื่อง เดอะ ฮิดเด็น ฟอร์เทรซ ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ผู้กำกับจอร์จ ลูคัส นำเนื้อเรื่องไปดัดแปลงและสร้างเป็นภาพยนตร์อวกาศระดับตำนานอย่าง สตาร์ วอรส์ ขึ้นมา และนอกจากนั้นเขายังได้หยิบยืมเอาลักษณะเฉพาะที่สำคัญหลาย ๆ อย่างของซามูไรมาใช้เป็นแรงบันดาลใจเบื้องต้นในการสร้างตัวละครอัศวินเจไดด้วย
นอกจากการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ตะวันตกแล้ว ยังมีอะนิเมะที่ดัดแปลงมาจาก เดอะ เซเว็น ซามูไร ด้วย โดยใช้ชื่อว่า ซามูไร 7 อะนิเมะเรื่องนี้ได้ขยายเนื้อเรื่องออกเป็นตอนต่าง ๆ หลายตอน
แต่อย่างไรก็ตาม ฐานคติเกี่ยวกับซามูไรที่สื่อออกมาผ่านภาพยนตร์ ในฐานะที่มีความแตกต่างกับอัศวินของยุโรป ได้นำไปสู่ช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างนักรบหรือวีรบุรุษของญี่ปุ่นกับของส่วนอื่น ๆ ในโลก เนื่องจากซามูไรนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสูงหรือมีกล้ามเป็นมัดเพื่อให้ดูแข็งแรง พวกเขาสามารถที่จะเป็นซามูไรทั้งที่มีความสูงเพียง 150 เซนติเมตร หรืออ่อนแอ หรือว่�! �พิการก็ได้ เรื่องของขนาดและพลังจึงไม่ใช่ปัจจัยทางด้านความงามที่ยั่วยวนใจชาวญี่ปุ่นเท่าไรนัก ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุด สามารถพบได้ในเรื่อง ซาโตอิจิ (ไอ้บอดซามูไร) ซามูไรตาบอดผู้มีฝีมือ ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์และภาพยนตร์ทางจอเงินอยู่หลายตอน
ในยุคต่อมา เป็นที่สังเกตได้ว่าภาพยนตร์แนวซามูไร หรือที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของซามูไร เริ่มที่จะปรากฏตัวในวงการภาพยนตร์ของฮอลีวูดมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่

เดอะ เซเว็น ซามูไร (เจ็ดเซียนซามูไร) เรื่องของหมู่บ้านเกษตรกรรมหมู่บ้านหนึ่งที่ได้ว่าจ้างซามูไรพเนจรกลุ่มหนึ่งเพื่อมาปกป้องพวกตนจากโจรป่า
โยญิมโบ หนังที่เล่าเรื่องราวของอดีตซามูไรคนหนึ่งที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างกลุ่มอิทธิพลสองกลุ่มที่อยู่ในเมืองเดียวกัน ด้วยการเข้าไปทำงานรับใช้ทั้งสองฝ่าย ; และ
เดอะ ฮิดเด็น ฟอร์เทรซ ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับชาวนาผู้โง่เขลาสองคนที่เข้าไปช่วยนายพลผู้เป็นตำนานคนหนึ่งในการอารักขาเจ้าหญิง
เดอะ ลาสท์ ซามูไร (มหาบุรุษซามูไร) เป็นภาพยนตร์มีเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการสิ้นสลายของชนชั้นซามูไรในญี่ปุ่น เนื้อเรื่องเป็นการผสมรวมระหว่างประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงและเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้น ออกฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 และได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากผู้ชมในแถบทวีปอเมริกาเหนือ โครงเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้มีพื้นฐานที่แตะมาจากเหตุ�! �ารณ์ของกลุ่มกบฏซัตสึมะ ในปี พ.ศ. 2420 โดยการนำของไซโงะ ทากาโมริ และเรื่องราวของร้อยเอก Jules Brunet ทหารชาวฝรั่งเศสที่ไปร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเอโนโมโตะ ทาเกอากิ ในสงครามโบชิง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตและกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำสงครามของซามูไร โดยมีสื่อกลางคือผู้กองเนธาน อัลเกร็น ทหารชาวอเมริกันที่ถูกกลุ่มซามูไรกลุ่มสุ�! �ท้ายในญี่ปุ่นจับตัวไปเป ็นเชลย
โกสท์ ด็อก: เดอะ เวย์ ออฟ เดอะ ซามูไร (โกสต์ด็อก ดับนรกเส้นทางซามูไร) เป็นเรื่องราวของนักฆ่าผิวดำในสังคมอเมริการ่วมสมัย ผู้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตำราฮางากุเระ (ตำราญี่ปุ่นว่าด้วยหลักปฏิบัติของซามูไร) นำแสดงโดยฟอเรสท์ วิทเทคเกอร์ เพลงประกอบภาพยนตร์ในเรื่องนี้เป็นเพลงแนวฮิพฮ็อพที่ทันสมัย สร้างอารมณ์ที่ขัดแย้งกับความเก่าแก่ของตำราฮางากึเระซึ่ง! เป็นส่วนประกอบหลักของเรื่องนี้ได้อย่างมาก
คิล บิล (นางฟ้าซามูไร) ของผู้กำกับเคว็นติน ทาแรนติโน ก็เป็นภาพยนตร์ฮอลีวูดอีกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับซามูไร โดยเฉพาะในด้านของอาวุธที่ซามูไรใช้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนที่ออกมายกย่องเกียรติศักดิ์ของดาบคาตานะเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ตัวภาพยนตร์เองก็ไม่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของซามูไรจริง ๆ มากเท่าที่ควร แรงบัน! ดาลใจเบื้องต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้จะมาจากอะนิเมะหรือการ์ตูนญี่ปุ่นมากกว่า
เช่นกันกับเรื่อง ซามูไร แวมไพร์ ไบเกอรส์ ฟรอม เฮล ภาพยนตร์แนวคัลท์ต้นทุนต่ำที่เนื้อเรื่องมีการบิดเบือนวัฒนธรรมแท้จริงของซามูไร ทางผู้สร้างได้พยายามทำให้ตัวละครหลักของเรื่องมีภาพของความเป็นทายาทในตระกูลซามูไรอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวภาพยนตร์ที่แท้จริงกลับไปเหมือนเนื้อเรื่องในการ์ตูนญี่ปุ่นหรือในหนังสือการ์ตูนช่วงปลายยุคศตวรรษที�! � 12 มากกว่า
ซามูไร
ภาพยนตร์
โชกุน ถือเป็นตัวอย่างวรรณกรรมซามูไรที่เป็นที่รู้จักในระดับสากลมากที่สุดชิ้นหนึ่ง ผลงานชิ้นนี้คือนวนิยายเรื่องแรกในงานชุดเอเชียน ซากา ของเจมส์ คลาเวลล์ (แปลเป็นไทยโดย ธนิต ธรรมสุคติ) นวนิยายเรื่องนี้มีท้องเรื่องอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2143 ซึ่งเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบศักดินา เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับการรุ่งโรจน์ของโทกึงาวะ อิเอยาซึ จนสามารถ! ตั้งคณะการปกครองในระบอบโชกุนของตนเองได้ เรื่องราวทั้งหมดในเรื่องนี้จะถูกเล่าผ่านสายตาของทหารชาวอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีพื้นฐานอย่างหลวม ๆ มาจากวิลเลียม อดัมส์ ชาวตะวันตกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซามูไร (ดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นี้ได้ในหัวข้อ ซามูไรชาวตะวันตก) เนื้อหาส่วนใหญ่ของนวนิยายชิ้นนี้ได้ถูกแต่งขึ้นมาใหม่โดยผู�! �เขียนเอง



วรรณกรรม
นอกจากวรรณกรรม ซามูไรยังได้ปรากฏตัวบนหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่น (มังงะ) และภาพยนตร์การ์ตูน (อะนิเมะ) อยู่บ่อยครั้ง โดยการ์ตูนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีเนื้อเรื่องอิงประวัติศาสตร์ และตัวละครหลักก็มักจะเป็นซามูไรหรืออดีตซามูไร (หรือผู้ที่มีลำดับขั้นหรือตำแหน่งที่ต่างไปจากนั้น) ที่มีทักษะวิชาทางการสู้รบสูง โดยตัวอย่างของการ์ตูนญี่ปุ่นแนวนี้ที่ถือว่า�! ��ด่งดังที่สุดก็ได้แก่เรื่อง โลน วูล์ฟ แอนด์ คับ และ รึโรวนิ เค็นชิง
โลน วูล์ฟ แอนด์ คับ (ซามูไรพ่อลูกอ่อน) เป็นการ์ตูนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตตัวแทนเพชรฆาตของโชกุน กับลูกน้อยของเขาอีกหนึ่งคน ที่ต้องกลายมาเป็นนักฆ่ารับจ้าง หลังจากที่ถูกกลุ่มชนชั้นสูงและซามูไรคนอื่น ๆ ร่วมกันทรยศ. ส่วน รึโรวนิ เค็นชิง (ซามูไรพเนจร) เป็นเรื่องราวของอดีตนักฆ่า ผู้มีส่วนช่วยให้เกิดการสิ้นยุคบากึมัตสึจนนำไปสู่การเกิดขึ้นของยุคเ�! �จิ เขาต้องมาปกป้องเพื่อนใหม่หลาย ๆ คน และต้องต่อสู่ขับไล่ศัตรูเก่าของเขาเอง โดยที่จะต้องรักษาคำสาบานที่เขาให้ไว้ก่อนหน้านั้นด้วยว่าเขาจะต้องไม่สังหารชีวิตใครอีก การ์ตูนเรื่องดังกล่าวนี้ยังได้นำเอามาสร้างในรูปแบบของอะนิเมะอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการ์ตูนญี่ปุ่นอีกหลายเรื่องที่ตัวละครหลักมีลักษณะต่าง ๆ เช่น การดำรงชีวิต การฝึกฝน และการต่อสู้คล้ายกับซามูไร โดยที่ตัวเรื่องหลักก็ไม่ได้ยึดติดอยู่กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์สมัยซามูไรเหมือนสองเรื่องข้างต้น เนื้อเรื่องที่ประกอบไปด้วยตัวละครประเภทนี้มักจะดำเนินเรื่องในบริบทเวลาปัจจุบันหรือไม่ก็อนาคต ตัวอย่างที่รู้�! �ักกันดีน่าจะเป็นโกเอมง อิชิกาวะ รุ่นที่ 13 จากเรื่อง ลูแปง III (การ์ตูนชุดที่สร้างออกมาทั้งในรูปแบบของหนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์การ์ตูนทางโทรทัศน์ และภาพยนตร์) และมาโกโตะ อาโอะยามะ จากการ์ตูนแนวโรแมนติกคอมเมดีเรื่อง เลิฟฮินะ (บ้านพักอลเวง) เป็นต้น
ตัวละครประเภทนี้ยังมีปรากฏให้เห็นอีกในการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ เช่นในเรื่อง เบย์เบรด (ศึกลูกข่างมหัศจรรย์) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันเกี่ยวกับการแข่งขันลูกข่างอันล้ำสมัย ก็มีตัวละครที่ชื่อ "ญิง (จิน) จ้าวพายุ" ที่มีลักษณะผสมกันระหว่างซามูไรและนินจาอยู่ด้วย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คืออะนิเมะแนวผู้ใหญ่ที่ชื่อ ซามูไร แชมพลู การ์ตูนญี่ปุ่น! ที่ปรากฏโฉมครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ด้วยเนื้อเรื่องในยุคเอโดะที่นำมาผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมข้างถนนสมัยใหม่และเพลงแนวฮิพฮ็อพ ก็มีตัวละครที่ชื่อ ญิง (จิน) ซึ่งเป็นอดีตซามูไรฝีมือฉมังที่ต้องกลายมาเป็นโรนิงหลังจากที่เขาได้สังหารเจ้านายของเขาเอง
ขณะที่ซามูไรกำลังมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ของญี่ปุ่น หนังสือการ์ตูนสัญชาติอเมริกันหลาย ๆ เรื่องก็ได้หยิบเอาลักษณะเฉพาะของซามูไรไปปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับตัวละครของพวกเขาเองเช่นเดียวกัน ที่เห็นได้ชัดก็คือ วูล์ฟเวอรีน หนึ่งในยอดมนุษย์แห่งมาร์เวล ยูนิเวอร์ส ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 80 ก็มีความพยายามที่จะใช้อุดมการ์และ! ฐานคติของซามูไรเกี่ยวกับวิธีการในการควบคุมความอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในของเขา นอกจากนั้น ลักษณะของโรนิง หรือซามูไรที่ไร้เจ้านาย ก็ยังถูกนำไปใช้เป็นตัวละครของการ์ตูนอเมริกาบางเรื่องด้วย เช่นเรื่อง โรนิน ของแฟรงค์ มิลเลอร์ และ อึซางิ โยญิมโบ ของสแตน ซาไก



วีดีโอเกม


วันพุธที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เครื่องจักรความร้อนการ์โนต์

เครื่องจักรความร้อนการ์โนต์ (Carnot Heat Engine) ถูกใช้ในการศึกษาวงจรอุณหพลศาสตร์โดย นิโคลัส ลีโอนาร์ด ซาดี การ์โนต์ (Nicolas Léonard Sadi Carnot) ในปี คริสตศักราช 1820 และได้รับการอธิบายเพิ่มเติมโดยเบอนัวต์ โปล เอมีล กลาปีรง (Benoit Paul Émile Clapeyron) ในทศวรรษต่อมา เครื่องจักรความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ความร้อนในการสร้างงานโดยการนำพาสารไปตามกระบวนการที่เป็นวัฏจักร



วัฏจักรการ์โนต์
วัฏจักรการ์โนต์ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

การขยายตัวแบบผันกลับได้ที่อุณหภูมิเสมอของก๊าซที่อุณหภูมิสูง TH (การเพิ่มความร้อนที่อุณหภูมิเสมอ) ในขั้นตอนนี้ก๊าซขยายตัวโดยการดันลูกสูบทำให้ก๊าซทำงานให้กับสภาพแวดล้อม พร้อมกันนั้นก๊าซจะรับความร้อนเข้าได้ด้วย
การขยายตัวแบบผันกลับได้ที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนความร้อนของก๊าซ ในขั้นตอนนี้สมมติให้กระบอกสูบและลูกสูบนั้นเป็นฉนวน ซึ่งทำให้ไม่มีการแลกเปลี่ยนความร้อนกับก๊าซ ก๊าซยังคงขยายตัวและทำงานให้กับสภาพแวดล้อม การขยายตัวนี้ทำให้อุณหภูมิของก๊าซลงลดไปยังที่อุณหภูมิต่ำ TC
การบีบอัดที่อุณหภูมิเสมอแบบผันกลับได้ของก๊าซที่อุณหภูมิต่ำ TC (การคายความร้อนที่อุณหภูมิเสมอ) ตอนนี้สภาพแวดล้อมจะทำงานให้ก๊าซ ทำให้ความร้อนไหลออกจากก๊าซกลับสู่สภาพแวดล้อม
การบีบอัดแบบผันกลับได้ที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนความร้อนของก๊าซ เรายังสมมติให้กระบอกสูบและลูกสูบเป็นฉนวน ในขั้นตอนนี้สภาแวดลอบทำงานให้กับก๊าซโดยบีบอัดก๊าซและทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไปเป็น TH ที่จุดนี้ ก๊าซกลับไปอยู่ในตอนเริ่มของขั้นตอนที่ 1

วันจันทร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

อำเภอตากใบ

อำเภอตากใบ เป็นอำเภอในจังหวัดนราธิวาสที่ติดชายแดนรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย



สารบัญ
เมื่อครั้งรัฐกลันตัน ต้องเสียดินแดนให้แก่อังกฤษในการทำสนธิสัญญาตาบาระหว่างรัฐบาลสยามกับรัฐบาลอังกฤษ เพื่อตงลงเรื่องอาณาเขต ฝ่ายไทยได้อ้างเหตุผลว่าบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของคนไทยมาช้านาน โดยใช้วัดชลธาราสิงเหเป็นหลักฐาน อังกฤษจึงกำหนดเอาแนวแม่น้ำโก-ลก เป็นเขตแดน ต่อมาได้ยกฐานะตากใบเป็นอำเภอ ใน ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๓



ประวัติของอำเภอตากใบ
การปกครองของอำเภอตากใบมี ๘ ตำบล ๕๕ หมู่บ้าน ๑ เทศบาล
ต.เจ๊ะเห มี ๘ หมู่บ้าน
ต.ไพรวัน มี ๑๐ หมู่บ้าน
ต.พร่อน มี ๖ หมู่บ้าน
ต.ศาลาใหม่ มี ๗ หมู่บ้าน
ต.บางขุนทอง มี ๖ หมู่บ้าน
ต.เกาะสะท้อน มี ๙ หมู่บ้าน
ต.นานาค มี ๔ หมู่บ้าน
ต.โฆษิต มี ๕ หมู่บ้าน


วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

.gf

บทความนี้ใช้ชื่อที่ใช้อักษรในภาษาอื่น เนื่องจากต้องการคงไว้ตามต้นฉบับ หรือไม่มีชื่อภาษาไทยที่เหมาะสม
gf เป็นโดเมนอินเทอร์เน็ตระดับบนสุดตามรหัสประเทศ (ccTLD) สำหรับประเทศเฟรนช์เกียนา เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2539