วันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ดาวต่างมุม : ชีวิตรัก 'จั๊กจั่น' เจ็บแล้วต้องจำ

ด้วยวัยเพียง 25 ปี ของสาวน้อยที่ชื่อ จั๊กจั่น-อคัมย์สิริ สุวรรณศุข แต่กลับต้องเจอมรสุมหัวใจที่ถาโถมเข้ามาจนแทบยืนไม่อยู่ พอถึงวันนี้เวลาผ่านไป หัวใจของเธอเข้มแข็ง และกลับมาร่าเริงเป็นจั๊กจั่นที่พร้อมจะส่งเสียงร้องสร้างความสดใสให้โลกใบนี้อีกครั้ง “ดาวต่างมุม” วันนี้เลยขอเปิดมุมมองของจั๊กจั่นในวันนี้ที่โตขึ้นกว่าวันวาน

ช่วงชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไง?

วัยเด็กของจั่นเรียกได้ว่า เรียบง่ายเหมือนเด็กทั่วไป ตื่นเช้ามาไปโรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน สังคมเพื่อนก็จะเป็นสังคมเดิม ๆ กลุ่มเดิม ๆ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียว มีพี่ชายห่างกัน 6 ปี คุณพ่อเสียตั้งแต่จั่น 2 ขวบครึ่ง คุณแม่ก็ดูแลเรามาตลอด ชีวิตไม่หวือหวาเลย ก็แก่นบ้างแต่ไม่ได้มากอะไร คือเป็นคนไม่เรียบร้อย ห้าวบ้าง แต่คุณแม่หวงเพราะเป็นลูกสาวมากกว่า พอจั่นขึ้น ม.4 ปุ๊บ พี่ชายก็ตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก เหลือจั่นกับแม่ 2 คน พอเราเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มมีหนุ่ม ๆ เข้ามาจีบบ้าง ก็มีป๊อปปี้เลิฟสมัยเด็ก ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ซีเรียส

การที่ชีวิตอยู่กับแม่สองคน มีเหงาบ้างไหม?

เหงาค่ะ เพราะว่าจริง ๆ แล้วกับพี่ชายจะสนิทกัน มีอะไรก็คุยกัน พี่ชายถือว่าเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตที่ไม่เคยทำให้เราเสียใจหรือเสียน้ำตา มีอะไรก็จะโทรฯปรึกษาตลอด ช่วงแรกที่เขาไปเมืองนอกจะโทรฯมาทุกอาทิตย์ แล้วก็มีคุยทางอินเทอร์เน็ตตลอด ช่วงที่มีปัญหาเขาก็บินกลับมาเยี่ยม แต่กับคุณแม่ตอนเด็ก ๆ เหมือนจะกลัว เพราะคุณแม่ดุ ตอนนั้นเราไม่ได้เรียนเก่งเท่าพี่ชาย ซึ่งเขาเป็นนักเรียนทุน เราก็รู้สึกว่าทำไมเราเรียนไม่เก่ง แต่ว่าก็ไม่ได้ซีเรียส คุณแม่ก็แบบว่าทำไมไม่อ่านหนังสือ ทำไมไม่ขยัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กดดันอะไร

คุณแม่ให้อิสระมากไหม?


เป็นประชาธิปไตย มีอะไรก็คุยได้ เคยมีไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วก็ไม่ได้บอกแม่ เขาก็เป็นห่วง จริง ๆ แล้วเราก็บอกตรง ๆ ก็ได้ ไม่ต้องโกหก คุณแม่ค่อนข้างที่จะเป็นประชาธิปไตยอยากทำอะไรทำ แต่ว่าถ้าทำแล้วต้องรับสิ่งที่ตามมาให้ได้ ไม่มีกอด ไม่มีโอ๋ แต่จะคอยให้กำลังใจ ปลอบใจ เอาเป็นว่าคุณแม่เป็นคนเข้มแข็งมาก เขาจะคอยพูดเสมอว่าถ้าแม่เป็นอะไรไปจั่นจะอยู่อย่างไร จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้ไหม เลยทำให้จั่นขับรถเป็นตั้งแต่เด็ก พอพี่ชายอยู่เมืองนอกคุณแม่ให้หัดขับรถ เผื่อคุณแม่ไม่สบายตอนกลางคืนก็จะได้ขับรถพาแม่ไปหาหมอได้ คือจะสอนให้เราทำอะไรเองตั้งแต่เด็ก

ด้วยความที่เสียคุณพ่อตั้งแต่เด็กมีความรู้สึกว่าชีวิตเราขาดไหม?

ไม่ค่ะ เพราะตอนนี้จั่นก็รู้สึกว่ามีความสุขดี จั่นอยากได้อะไรก็ได้ ที่ไม่ไร้สาระนะ เช่น อยากเรียนบัลเลต์ เรียนพิเศษ แม่ก็ให้ มันต้องสมเหตุสมผล แต่มีช่วงหนึ่งที่แบบว่าติดเพื่อน พอแม่เตือน เราก็แบบโอ๊ย! แม่ไม่เข้าใจเลย พอถึงตอนนี้เราก็รู้ว่าแม่เป็นห่วง เพียงแต่ว่าช่วงนั้นเรารั้น จั่นไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาด แต่ว่าเวลาที่เราเห็นคุณพ่อเดินจูงลูกไปส่งโรงเรียน เป็นภาพที่น่ารัก บางทีในหมู่บ้านน้ำท่วม พ่อเอาลูกขี่หลังน่ารักดี แต่ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุอย่างนี้ เพราะคุณพ่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่คุณแม่ก็เลี้ยงดูจั่นดี แม่เป็นไอดอล เป็นผู้หญิงที่เก่ง

ชีวิตในวงการถือเป็นจุดเปลี่ยน?

เริ่มเข้าวงการตอนก่อนจบปี 3 ได้ถ่ายโฆษณาก่อน คืออาของเพื่อนทำโมเดลิ่งอยู่ เขาบอกให้ลองไปถ่ายรูปดูไหม แรก ๆ ไม่กล้า กลัว แต่เห็นว่าเป็นอาของเพื่อนก็โอเค ถ่ายโฆษณาเสร็จ จั่นก็เข้าไปเทสต์เสียงที่แกรมมี่ก่อน เพราะอยากเป็นนักร้อง ตอนนั้นมีโครงการค้นหานักแสดงหน้าใหม่ เอ็กแซ็กท์ สตาร์เซิร์ช ก็ลองไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ติด 1 ใน 5 ได้มาเล่นละครเรื่องแรกคือ 'เฮฮาคาเฟ่' หลังจากนั้นชีวิตเริ่มเปลี่ยนแล้ว อย่างเมื่อก่อนไปมหาวิทยาลัยตื่นเช้าขี้เกียจ ไม่ตื่น ไม่ไปบ้าง พอเข้ามาทำงานตรงนี้ ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เลยรู้สึกว่าถ้าเลิกดึก เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องไปเรียน เพราะสัญญากับคุณแม่ว่าถ้าเข้ามาในวงการจะเรียนให้จบ 4 ปีจะไม่ทิ้งเรียน เพราะเขากลัวว่าเราจะทิ้งเรียน แล้วจั่นก็เรียนจบได้ ตอนนี้จั่นก็ทำงานเข้าปีที่ 5 แล้ว

5 ปีที่ผ่านมาให้อะไรบ้าง?

เยอะมาก เมื่อก่อนเราจะมองโลกในแง่ดีตลอดเวลา คิดว่าทุกคนจะต้องดีกับเรา จั่นเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดร้ายกับใคร ใครเข้ามาก็จะให้หนึ่งร้อยหมด ให้ใจคนง่าย พอมาเจอคนที่หลากหลาย ด้วยการทำงานก็ค่อนข้างกดดัน บางทีก็กลับบ้านร้องไห้ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำงานตรงนี้ได้ไหม บางทีเราก็ใหม่ครั้งแรกก็กดดัน เรากำลังเรียนอยู่ก็กดดันว่าจะจบ 4 ปีไหม การทำงานกับคนหมู่มากต้องปรับตัว บางทีการวางตัวก็ยังไม่ค่อยถูก อย่างมีงานหนึ่งไปเจอพี่ ๆ นัก ข่าวก็ต้องไหว้ แต่ก็ถูกว่ามือไม้แข็ง ไม่ค่อยไหว้ งงเหมือนกัน คือมีอะไรหลายอย่างที่ต้องปรับตัว ต้องทำให้ได้ แม่บอกว่าทุกงานที่ทำมันต้องมีปัญหาหมด ถ้าไม่อยากมีปัญหาก็ไม่ต้องทำงาน ออกมานอนอยู่บ้าน ก็เลยมีกำลังใจขึ้น ในเมื่อปัญหามันมีไว้แก้ แล้วทำไมเราถึงจะสู้ต่อไปไม่ได้

ยากไหมกับการเป็นจั๊กจั่นในวันนี้?

ทุกวันนี้มันก็ดีขึ้น ก็ต้องปรับตัว สิ่งที่เราเจอในแต่ละวันมันไม่เหมือนกัน จั่นในวันนี้ก็โตขึ้นกว่าเมื่อวันวาน มีเรื่องราวมีบทเรียนเข้ามาสอนเรามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว เรื่องความรัก อีกอย่างหนึ่งเพราะว่าเราอยู่ในสังคมด้วย เวลาเราทำอะไรก็เหมือนโดนจับตาเยอะกว่าคนอื่น ก็ค่อนข้างกดดัน ต้องปรับตัวแก้ไขผ่านมันไปให้ได้

อึดอัดไหมว่าที่มีคนจับตามอง ตลอดเวลา?

เฉย ๆ แล้ว ไม่อึดอัด เราเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างที่ผ่านมาบางทีถ้าอ่านข่าวแล้วไม่สบายใจก็จะไม่อ่าน สิ่งไหนที่ทำแล้วไม่สบายใจก็จะไม่ทำ อย่างช่วงมีข่าวจั่นยังไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์พี่ ๆ ก็จะยังไม่รับโทรศัพท์ ก็ จะกลายเป็นแบบว่าหยิ่ง ถือตัว ไม่รับโทรศัพท์ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ จั่นจะรอให้ตัวเองเข้มแข็งพร้อมที่จะพูด แล้วก็อยากจะพูดแค่ครั้งเดียว ไม่อยากนั่งพูดหลายรอบ อยากจะให้เข้าใจว่าไม่ได้เปลี่ยน ไป ยังเหมือนเดิม ก็มีน้อยใจบ้าง แต่ก็ต้องเดินต่อไป พอถึงจุดนี้จั่นก็มีความสุขมากแล้ว

วันนี้หัวใจแข็งแรงหรือยัง?

แข็งแรงแล้วค่ะ ตอนนั้นอย่างแรกเลยคือจั่นรู้ว่า จั่นไม่ควรจะอยู่คนเดียว เพราะว่าอกหักคงไม่มีใครอยากอยู่คนเดียว จะไม่ทำอะไรที่ไม่สบายใจ มีโอกาสไปเข้าวัดทำบุญด้วย เลยมีความรู้สึกว่าคนเราเกิดมาก็เท่านี้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ชื่อเสียง ความดีที่ทำก็จะยังอยู่ทุกคนจะจำได้เท่านั้นเอง ประกอบกับว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ก็มีคนให้กำลังใจ ทั้งคุณแม่ เพื่อน ๆ พี่ ๆ แฟนคลับ ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว แม่ก็บอกว่าจำได้ไหม มันเป็นการตัดสินใจของตัวเราเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจั่นจะรับมันให้ได้ ซึ่งใช่มันเกิดขึ้นแล้วจั่นก็ต้องรับมันให้ได้ แล้วเมื่อก่อนหน้านี้จั่นยังอยู่ของจั่นมาได้เลย แล้วทำไมจั่นจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าจั่นจะใช้ชีวิตหลังจากนั้นอย่างไร มันก็ดีขึ้นกว่าเดิม แต่กว่าจะถึงวันนี้มันยากที่เราจะกลับมาหัวเราะ กลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง ใครไม่เจอเองก็คงไม่รู้ ซึ่งบางทีก็มีกระแสข่าวหาว่าโปรโมตละครบ้าง โอเคก็ช่างมันไม่มีอะไร มันผ่านไปแล้ว ต่อไปถ้าจั่นจะเสียใจ จั่นก็ไม่เสียใจเท่าที่ผ่านมาอีก จั่นจะรับมือกับมันให้ดีขึ้น มันสอนได้หลาย ๆ อย่าง จั่นเข้าวงการมาจั่นก็ว่าจั่นโตมากขึ้น แล้วในแต่ละวันมันสอนอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น วันนี้จั่นต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบมากกว่าทุก ๆ วัน ที่ผ่านมายอมรับนะเมื่อก่อนพูดไม่ได้คิดเหมือนเด็ก เลยทำให้บางคนเข้าใจเราผิด

แล้วรักครั้งใหม่ล่ะ?

จั่นยังไม่คิดที่จะมีความรักครั้งใหม่ ที่ผ่านมาจั่นมีโอกาสได้เล่นละคร ได้ร้องเพลงประกอบละคร หลังจากนั้นจั่นก็โชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับซูเปอร์โมเดลระดับโลก 2 คนคือ 'มอรีน โอค็อกวู' ที่จั่นร่วมทำงานออกแบบดีไซเนอร์ และ 'เพทรา เนมโคว่า' ซูเปอร์โมเดลที่รอดชีวิตจากเหตุสึนามิ เขาตั้งมูลนิธิ 'แฮปปี้ ฮาร์ท' ช่วยเหลือเด็ก มาสร้างโรงเรียน จั่นได้ร่วมงานกับเขาถือว่าเป็นรางวัลชีวิตของจั่น อย่างน้อยมีสิ่ง ดี ๆ เข้ามา เขาตั้งให้จั่นเป็นทูต คือเราลงไปเยี่ยมเด็ก ๆ เห็นเขาอยู่อย่างน่าสงสาร ทำไมเราต้องรู้สึกว่าท้อแท้ ที่ผ่านมาเรามัวทำอะไรอยู่ เราเสียเวลากับอะไรอยู่ ข้างหน้าในอนาคตเรายังมีอะไรให้ทำ ก็เลยไม่รู้สึกว่าจะต้องรีบมีความรัก เคยมีคนบอกว่าผู้หญิงเราต้องรักตัวเองให้มากกว่ารักคนอื่น เราก็จะไม่เจ็บตัว ซึ่งมันก็จริงตอนแรกจั่นก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอมาถึงตอนนี้จั่นเข้าใจ แล้ว ถ้าเราดีแต่รักคนอื่น เราไม่รักตัวเอง พอมีอะไรมาเราก็จะเจ็บเอง

ณ วันนี้มีงานใหม่มันอาจจะทดแทนกันได้?

ทดแทนกันได้มาก เพราะก่อนหน้านี้ที่จั่นไม่ได้มีความรัก จั่นก็สนุกกับงานที่ทำ พอมาช่วงหนึ่งมีความรักก็เหมือนที่จะลืมละเลยตัวเองไป พอได้กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้งก็รู้สึกว่า เรายังทำอะไรได้อีกเยอะ ยังมีคนที่เห็นในความสามารถเราอีกเยอะ อย่างเรื่องออกแบบเครื่องประดับ เราก็รู้สึกว่าเราจะทำได้หรือเปล่า เพราะไม่เคยเรียนออกแบบ แต่เป็นคนชอบแต่งตัวก็เอามาผสมผสานกัน ก็มีคนชมว่าสวย ทำไมไม่ทำขาย ทำให้จั่นรู้สึกว่าอยากทำธุรกิจของตัวเองที่มันจริงจังมากขึ้น จั่นลืมมองตัวเองไปว่าตัวเองก็มีดี ไม่ใช่แบบว่าเราอยู่ไม่ได้แล้ว เลิกโทษตัวเอง แต่กลับมองตัวเองว่าเรายังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ ถ้าเราไม่ให้เกียรติตัวเองแล้วใครจะมาให้เกียรติเรา ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เวลาที่จั่นแย่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจจนบางทีอาจจะคิดมาก ทำไมมันเลวร้ายกับฉันอย่างนี้ ทำไมเราถึงได้คิดอย่างนั้นได้ ขนาดเด็กคนอื่นเขาแย่กว่าเราอีก ที่จั่นลงไปโรงพยาบาลตะกั่วป่า เจอน้องเผือก เขาเป็นโรคนิวมอเนียตั้งแต่ 3 ขวบจนตอนนี้ 7 ขวบ แล้วเขาช่วยตัวเองไม่ได้คือยังมีคนที่แย่กว่าเรา เรามีมือมีเท้าครบ ทำไมเราถึงไม่สู้ เราจะให้สังคมหรือว่าทุก ๆ อย่างมาทำให้เราจบเหรอ เราต้องยืนอยู่ให้ได้

ขอถามอีกที อีกนานเท่าไหร่ถึงจะพร้อมมีความรัก?

มันก็ตอบไม่ได้ แต่จั่นไม่รีบ ถ้าจะมาก็มา มีคนเข้ามา โทรฯคุยบ้างปกติ แต่ว่าไม่ได้อะไรคุยกันเป็นเพื่อน ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ จั่นจะบอกเลยว่าจั่นยังสนุกกับการทำงาน ยังไม่อยากมีใครแล้วก็ไม่รีบด้วย ต่อไปถ้าจะมีใครเข้ามาในอนาคตจั่นก็ต้องดูอีกหลาย ๆ อย่าง แต่ไม่ใช่หมายความว่าเอาบรรทัดฐานหรือความผิดพลาดความเสียใจที่ผ่านมามาเทียบนะ คนที่เข้ามามันคนละคนกัน ต้องดูต้องคิดมากขึ้น เข้ากับครอบครัวเราไหม ให้เกียรติเราไหม เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว จริงอยู่ความรักมันก็คือคนสองคน แต่เรายังมีแม่ มีญาติพี่น้อง จะไม่มองมุมของตัวเองเพียงอย่างเดียว จะฟังคำคนรอบข้าง แต่ก็ไม่ใช่ฟังเอาคำคนอื่นตัดสินใจหมด รักด้วยสมอง รักด้วยเหตุผล รักด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์อย่างเดียว

ไม่มีความคิดเห็น: